Month: พฤษภาคม 2021

ขับเคลื่อนด้วยไฟ

เมื่อนักผจญเพลิงสองคนที่เหนื่อยล้าและตัวเต็มไปด้วยเขม่าแวะทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พนักงานเสิร์ฟจำทั้งสองคนได้จากข่าวและรู้ว่าพวกเขาใช้เวลาทั้งคืนต่อสู้กับไฟในโกดัง เพื่อแสดงความขอบคุณเธอจึงเขียนข้อความในใบเรียกเก็บเงินว่า “วันนี้ฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารเช้าพวกคุณ ขอบคุณ...ที่ปรนนิบัติผู้อื่นและวิ่งเข้าไปในที่ที่คนอื่นพากันวิ่งหนีออกมา...คุณเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนด้วยไฟและความกล้าหาญ”

ในพันธสัญญาเดิม เราเห็นตัวอย่างความกล้าหาญของชายหนุ่มสามคนคือ ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก (ดนล.3) แทนที่จะเชื่อฟังคำสั่งให้นมัสการปฏิมากรของกษัตริย์บาบิโลน พวกเขากลับแสดงความรักที่มีต่อพระเจ้าอย่างกล้าหาญ ด้วยการปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งนั้นและถูกลงโทษด้วยการโยนเข้าไปในเตาไฟที่ลุกอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ถอย “ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาทผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัติ พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ ข้าแต่พระราชา พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น พวกข้าพระบาทก็ไม่ปรนนิบัติพระของฝ่าพระบาท หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น”(ข้อ 17-18)

พระเจ้าทรงช่วยกู้และเดินอยู่กับพวกเขาในกองเพลิง (ข้อ 25-27) ท่ามกลางการทดลองและปัญหาที่ร้อนแรงของเราในวันนี้ เราก็มั่นใจได้เช่นกันว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราและพระองค์ทรงจัดการได้

แนวคิดซึ่งไม่เป็นที่นิยมของพระเยซู

เป็นเวลา 15 ปีที่ไมค์ เบอร์เดนจัดการประชุมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังในร้านขายของที่ระลึกที่เขาเปิดในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ในปี 2012 เมื่อภรรยาเริ่มตั้งคำถามถึงการมีส่วนร่วมของเขา เขาก็เริ่มใจอ่อน เขาตระหนักดีว่ามุมมองเรื่องการเหยียดผิวของเขานั้นผิดและเขาไม่ต้องการเป็นเช่นนั้นอีก กลุ่มหัวรุนแรงจึงตอบโต้โดยขับไล่ครอบครัวเขาออกจากอพาร์ทเมนท์ที่เขาเช่าจากสมาชิกคนหนึ่ง

เขาไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหนน่ะหรือ น่าแปลกที่เขาไปหาศิษยาภิบาลผิวดำซึ่งเคยปะทะคารมกันมาก่อน ศิษยาภิบาลและคริสตจักรของเขาจัดหาที่อยู่และอาหารให้กับครอบครัวของไมค์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงช่วย ศิษยาภิบาลเคนเนดี้กล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำบางสิ่งซึ่งไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องช่วยเหลือ จงทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้คุณทำ” ต่อมาไมค์ได้พูดที่คริสตจักรของเคนเนดี้และขอโทษชุมชนคนผิวดำที่เขามีส่วนในการเผยแพร่ความเกลียดชัง

พระเยซูทรงสอนแนวคิดซึ่งไม่เป็นที่นิยมบางประการในคำเทศนาบนภูเขาคือ “ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้...จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (มธ.5:42, 44) นั่นคือวิธีคิดแบบกลับหัวที่พระเจ้าเรียกให้เราทำตาม แม้จะดูเหมือนอ่อนแอ แต่แท้จริงแล้วเป็นการกระทำที่ออกมาจากความเข้มแข็งของพระเจ้า

พระองค์ผู้ที่สอนเราในเรื่องนี้คือผู้เดียวกับที่ทรงประทานฤทธิ์อำนาจในการดำเนินชีวิตแบบกลับหัวในวิถีทางใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบอกกับเรา

สิ่งที่มองไม่เห็น

นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ยุคปรมาณูเริ่มต้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1945 เมื่ออาวุธนิวเคลียร์ชิ้นแรกถูกจุดชนวนในทะเลทรายที่ไกลโพ้นของนิวเม็กซิโก แต่นักปรัชญาชาวกรีกเดโมคริตัส (ราว 460-370 ปีก่อนคริสตศักราช) ได้สำรวจการดำรงอยู่และพลังของอะตอมมานานก่อนที่จะมีการประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อช่วยให้มองเห็นองค์ประกอบเล็กๆของจักรวาลนี้ได้ เดโมคริตัสเข้าใจมากกว่าที่เขาเห็นและทฤษฎีอะตอมก็เป็นผลจากความเข้าใจนั้น

พระคัมภีร์บอกเราว่า แก่นแท้ของความเชื่อคือการโอบกอดสิ่งที่มองไม่เห็น ฮีบรู 11:1 ยืนยันว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” ความมั่นใจนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากความปรารถนาหรือความคิดเชิงบวก หากแต่เป็นความเชื่อมั่นในพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น ซึ่งการดำรงอยู่ของพระองค์เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ที่สุดในจักรวาลความจริงของพระองค์ปรากฏอยู่ในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (สดด.19:1) พระเจ้าทรงเปิดเผยพระลักษณะและวิถีทางที่มองไม่เห็นของพระองค์ให้เราเห็นในพระเยซูองค์พระบุตร ผู้เสด็จมาเพื่อสำแดงความรักของพระบิดาต่อเรา (ยน.1:18)

นี่คือพระเจ้าผู้ที่ “เรามีชีวิตและไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์” ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ (กจ.17:28) เพราะ “เราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 คร.5:7) กระนั้นเราไม่ได้เดินเพียงลำพัง พระเจ้าที่เรามองไม่เห็นทรงดำเนินไปกับเราในทุกย่างก้าวบนเส้นทางนี้

สถิตในใจของเรา

บางครั้งคำพูดของเด็กอาจทำให้เราเข้าใจความจริงของพระเจ้าได้ลึกซึ้งขึ้น เย็นวันหนึ่งตอนที่ลูกสาวฉันยังเด็ก ฉันบอกเธอถึงความเร้นลับที่ยิ่งใหญ่ของความเชื่อคริสเตียนที่ว่า พระเจ้าสถิตอยู่ในบุตรของพระองค์โดยทางพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันบอกขณะที่พาเธอเข้านอนว่า พระเยซูสถิตอยู่กับเธอและในเธอ “พระองค์อยู่ในท้องหนูเหรอคะ” เธอถาม “อืม หนูยังไม่ได้กลืนพระองค์ลงไป แต่พระองค์อยู่กับหนูที่นั่น” ฉันตอบ

การตีความตามตัวอักษรของลูกสาวฉันที่ว่าพระเยซูอยู่ “ในท้องหนู” ทำให้ฉันหยุดคิดใคร่ครวญว่า เมื่อฉันทูลขอให้พระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น พระองค์จะเสด็จมาประทับภายในฉันอย่างไร

อัครทูตเปาโลพูดถึงความเร้นลับนี้เมื่อท่านทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความเข้มแข็งให้กับผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัส เพื่อพระคริสต์จะ “สถิตในใจของท่านทางความเชื่อ” (อฟ.3:17) เมื่อมีพระเยซูอยู่ภายใน พวกเขาจะเข้าใจว่าพระองค์ทรงรักพวกเขามากเพียงใด และโดยความรักนี้ พวกเขาจะเติบโตในความเชื่อและรักผู้อื่นด้วยความถ่อมและอ่อนสุภาพขณะที่พูดความจริงด้วยความรัก (4:2, 25)

การที่พระเยซูสถิตอยู่ในผู้ติดตามพระองค์หมายความว่า ความรักของพระองค์จะไม่มีวันพรากไปจากผู้ที่ต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต ความรักของพระองค์ที่เกินความรู้ (3:19) ทำให้เราหยั่งรากอยู่ในพระองค์และช่วยให้เราเข้าใจว่าพระองค์ทรงรักเรามากเพียงใด

ถ้อยคำที่เขียนไว้สำหรับเด็กๆพูดได้ดีที่สุดคือ “ใช่ พระเยซูรักฉัน!”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา